มาเลือก Smart TV สำหรับ Watch from Home กันเถอะ!
24 March 2563
Work from Home จนเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ช่วงเวลาหลังเลิกงานและวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ออกไปไหนมาไหนไม่ได้แบบนี้ แพลนกิจกรรมที่ทำได้ในบ้านก็คงมีตัวเลือกให้ทำไม่มากนัก หนึ่งในนั้นรับรองว่าต้องเป็นการรับชมภาพยนตร์และซีรีส์เรื่องโปรดอย่างแน่นอน เวลานี้ หากจะมองให้เป็นโอกาสที่ดีในการพักผ่อนอยู่กับตัวเอง ก็ถือว่าได้ฮีลลิงเราจากโลกภายนอกได้เยอะเหมือนกัน มาเข้าสู่โลกส่วนตัวกับโรงภาพยนต์ส่วนตัวฉบับ Watch from Home กันเถอะ!
วันนี้ Esto จะมาแนะนำ Smart TV สำหรับการ Watch from Home ที่มีความสามารถในการใช้งานอินเทอร์เน็ตและเว็บบราวเซอร์ต่าง ๆ ผ่านการเชื่อมต่อทั้งจากตัวทีวีเอง รวมไปถึงผ่านสมาร์ตโฟนและแท็ปเล็ตของเรา อีกทั้งยังมีความสามารถในการโหลดเกม โหลดแอปพลิเคชันต่าง ๆ เข้ามาที่ตัว TV ได้เองอีกด้วย แถมยังมีความสามารถเจ๋ง ๆ เฉพาะตัวแตกต่างกันไปตามค่ายผู้ผลิตอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจดจำเสียง, จดจำใบหน้า, สั่งงานด้วยเสียง, สั่งงานด้วยท่าทาง รวมไปถึงการสั่งงานผ่านแอปพลิเคชัน
และด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างกันของ Smart TV แต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่น ทำให้เราต้องตัดสินใจเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราให้ได้มาที่สุด แล้วจะเลือกจากอะไรได้บ้าง? วันนี้เรามีคำตอบ
ความแตกต่างของประเภทหน้าจอ
- จอภาพแบบ LCD (Liquid Crystal Display) : ใช้หลอดไฟ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) ทำงานร่วมกับฟิลเตอร์ 3 สี ได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว เพื่อให้เกิดภาพบนหน้าจอ
- จอภาพแบบ LED (Light Emitting Diode) : ใช้หลอดไฟ LED 3 สี ได้แก่ สีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว เรียงต่อกันให้เกิดแสงบนจอภาพ โดยจอภาพแบบ LED จะมีขนาดบางกว่าจอแบบ LCD และประหยัดไฟกว่า จึงเป็นที่นิยมมากกว่า
- จอภาพแบบ Plasma TV : ใช้แรงดันไฟฟ้าให้กำเนิดแสง ภาพที่ออกมามีสีสันที่เป็นธรรมชาติ แสดงภาพเคลื่อนไหวได้ดีแต่กินไฟมาก ถ้าในห้องที่มีแสงสว่างมากกระจกหน้าจอจะสะท้อนกับแสง ทำให้ภาพที่แสดงบนหน้าจอไม่ชัดเจน
- จอภาพแบบ OLED (Organic Light Emitting Diodes) : เป็นแบบที่กำลังได้รับความนิยม เพราะไม่ต้องมีหลอดไฟให้กำเนิดแสงแบบจอ LCD หรือ LED ให้กำเนิดแสงได้เองเช่นเดียวกับ Plasma TV แต่กินไฟน้อยกว่า แล้วยังมีความยืดหยุ่นทำให้สามารถพัฒนาหน้าจอให้มีความโค้งได้โดยที่สีสันของภาพที่แสดบนหน้าจอมีความเป็นธรรมชาติ และสีสันที่จอภาพแสดงให้เห็นไม่แตกต่างกันเลยไม่ว่าจะมองจากมุมไหน แต่ราคาก็สูงขึ้นตามคุณภาพของหน้าจอเช่นกัน
นี่เป็นรูปแบบของหน้าจอที่เป็นตัวเลือกหนึ่งในการพิจารณาเลือกซื้อ SmartTV ราคาก็ผันตามคุณภาพอย่างไม่ต้องสงสัย
ความละเอียดของภาพ
- HD (High Definition) : คือมีความละเอียดภาพ 1366 × 768 pixel ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบทั่วไปในปัจจุบัน เพราะดิจิตอลทีวีหลายช่องก็มีการแพร่ภาพแบบ HD
- Full HD (Full High Definition) : ความละเอียดภาพ 1920 × 1080 pixel เป็นความคมชัดที่ช่วยให้รับชมภาพยนตร์แบบ Blu-ray ได้เต็มประสิทธิภาพ และเสริมการชมรายการแบบ HD ให้คมชัดไปอีกระดับ
- UHD (Ultra High Definition) : UHD หรือ 4K ให้ความระเอียดภาพถึง 3840 × 2160 pixel ซึ่งให้ความละเอียดเป็น 4 เท่าของระบบ Full HD หรือมากถึง 8 ล้านพิกเซล ทำให้ภาพที่แสดงออกมามีความคมชัดเหมือนจริงมาก
และในปัจจุบันผู้ผลิตบางค่ายได้เปิดตัว UHD 8K ซึ่งมีความความละเอียด 7680 × 4320 pixel หรือละเอียดถึง 33 ล้านพิกเซล
รูปแบบปฏิบัติการ
พูดถึงจอภาพและความละเอียดของภาพแล้ว ระบบปฏิบัติการของ Smart TV แต่ละรุ่นก็คงจะขาดไม่ได้ เพราะนอกจากคุณภาพของภาพที่เราจะได้รับชมแล้ว ความสะดวกของการใช้งานก็เป็นตัวเลือกที่สำคัญมาก ๆ เช่นกัน
- Android TV ที่มีฟังก์ชันการใช้งาน และลูกเล่นต่าง ๆ เสมือนกับการขยายสมาร์ตโฟนให้มาอยู่ในรูปแบบของ TV โดยมีระบบ Google Cast ที่สามารถเชื่อมต่อเพื่อส่งคอนเทนต์จากโทรศัพท์ไปแสดงบนหน้าจอได้ รวมถึงสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่าง ๆ จาก Google Play ได้เหมือนกับสมาร์ตโฟนที่เราคุ้นเคยกัน
- Web OS เป็นระบบปฏิบัติการที่อยู่ในเครื่อง Palm ซึ่ง LG ได้นำมาปรับปรุงใหม่เพื่อควบคุมอุปกรณ์เชื่อมต่อ รวมถึงการใช้ User Interface เพื่อในง่ายต่อการใช้งานร่วมกับ Smart TV ของค่าย LG โดยเฉพาะ
- Tizen ระบบที่ทำให้การเชื่อมต่อหรือการแชร์คอนเทนต์ระหว่างสมาร์ตโฟนและ Smart TV รวดเร็วเพียงแค่คลิกเดียว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Smart Hub ที่ช่วยในการค้นหาแอปพลิเคชัน และคอนเทนต์ต่าง ๆ ง่ายยิ่งขึ้น
- Firefox ซึ่งเป็นที่รู้จักดีในฐานะเว็บบราวเซอร์ที่มีลูกเล่นให้สามารถปรับแต่งธีมการใช้งานได้ตามความต้องการ ซึ่ง Firefox ได้มีการพัฒนาต่อยอดรูปแบบของระบบปฏิบัติการให้ใช้กับสมาร์ตโฟนได้ และต่อมา Panasonic ได้ให้การสนับสนุน Firefox OS เพื่อนำมาใช้ใน Smart TV บ้างแล้ว
ขนาดและระยะห่างของจอภาพ
อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันเลยก็คือการเลือกขนาดของ Smart TV ให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง ในระยะที่เหมาะสมกับการรับชม เพื่อที่จะได้รับชมภาพที่คมชัดที่สุด
- จอภาพขนาด 56 นิ้วขึ้นไป ระยะห่างควรอยู่ที่ 3 เมตรขึ้นไป
- จอภาพขนาด 46-55 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 2.5 ถึง 3 เมตร
- จอภาพขนาด 40-45 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 2 ถึง 2.5 เมตร
- จอภาพขนาด 32-39 นิ้ว ระยะห่างควรอยู่ที่ 1.5 ถึง 2 เมตร
- จอภาพขนาดต่ำกว่า 32 นิ้ว ลงมา ระยะห่างควรอยู่ที่ 1.5 เมตร หรือน้อยกว่า
รู้อย่างนี้แล้วก็คงตัดสินใจเลือกซื้อ Smart TV ที่ถูกใจกันได้ไม่ยากแล้วใช่มั้ยล่ะ แต่นอกจากจะดูที่คุณภาพของหน้าจอ ความละเอียดของภาพที่จะได้ ระบบปฏิบัติการที่ใช้ง่าย รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ หรือฟังก์ชันถูกใจแล้ว สำคัญที่สุด ก็ต้องสัมพันธ์กับเงินในกระเป๋าด้วยนะ