รูปบทความ This is it เป็นอยู่คือ "พระโขนง" ดินแดนแห่งไลฟ์สไตล์สุดฮิปที่ใครๆ ก็หลงรัก

This is it เป็นอยู่คือ "พระโขนง" ดินแดนแห่งไลฟ์สไตล์สุดฮิปที่ใครๆ ก็หลงรัก

ขยับจากย่านเอกมัย-ทองหล่อมาเพียง 1 สถานี เราก็จะเจอรูปแบบการใช้ชีวิตที่ต่างออกไป...จากแสงสีของร้านค้า ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกก็เปลี่ยนมาเป็นบรรยากาศแบบไทยๆ ให้เราห้วนนึกถึงความทรงจำวัยเด็กของย่านพระโขนง ทำเลที่คงเอกลักษณ์การเป็นอยู่แบบไทยสไตล์ เรียบง่ายแต่ไม่ล้าสมัย...จากวันนั้นจนถึงวันนี้มาดูกันว่า "พระโขนงเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง"


"พระโขนง" เป็นจุดศูนย์กลางแห่งการเชื่อมต่อสไตล์คนเมือง

สิ่งแรกที่ทำให้พระโขนงกลายเป็นทำเลที่รู้จักของคนนอกพื้นที่ก็คือ การเดินทางที่ทันสมัย สามารถเชื่อมต่อไปที่ไหนก็ได้ เช่นเดียวกับการเข้ามาที่พระโขนงก็สะดวกรวดเร็วกว่าแต่ก่อนมาก


เพราะตั้งแต่มีรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สายสุขุมวิท) วิ่งเข้ามาทักทายย่านนี้ ก็ทำให้ภาพของพระโขนงเปลี่ยนไปจาก 30 กว่าปีก่อน แต่เดิมที่เคยเป็นเพียงย่านชุมชนเก่า โดดเด่นเรื่องการค้าขายก็กลับกลายเป็นย่านแหล่งท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์จนใครหลายคนต้องหลงรัก สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ง่ายๆ แค่นั่ง BTS มาลงสถานีพระโขนง ห่างจากใจกลางเมืองสยามเพียง 7 สถานี


ส่วนใครที่ใช้รถใช้ถนนเป็นประจำก็หมดห่วง เพราะย่านพระโขนงตั้งอยู่บนถนนสายหลักช่วงสุขุมวิท 67 - สุขุมวิท 71 ทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองแต่ละครั้งเป็นไปอย่างคล่องตัว 


หรือถ้าขับเลยแยกสุขุมวิท 71 ไปเล็กน้อย ก็จะเจอทางขึ้นทางพิเศษฉลองรัช เราสามารถขับรถวนขึ้นไปเพื่อไปลงที่ย่านรามอินทราหรือพระราม 9 ช่วยประหยัดทั้งเวลาและระยะทางในชั่วโมงเร่งด่วน


แม้แต่ในซอยสุขุมวิท 71 เองก็ถูกนิยมใช้เป็นเส้นทางรองเพื่อลัดเลาะไปยังสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกมัย-ทองหล่อ, แยกคลองตัน หรือโซนอ่อนนุช สุขุมวิท 50 ได้ด้วยเช่นกัน


ภายในซอยสุขุมวิท 71 จะให้บรรยากาศคล้ายๆ กับซอยทองหล่อ แต่ที่นี่จะมีความเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยมากกว่า สองข้างทางเป็นอาคารบ้านเรือนและร้านค้าพาณิชย์สูง 3-5 ชั้น สลับกับสถานศึกษา, อาคารสำนักงานบ้างประปราย หากใครรีบหน่อยก็โบกมือเรียกวินมอเตอร์ไซต์ได้ทันที ค่าบริการอยู่ที่ 10 - 30 บาทแต่ถึงจุดหมายเร็วทันใจแน่นอน


แต่ส่วนใหญ่แล้ว...ชาวพระโขนงจะนิยมใช้รถโดยสารสาธารณะเป็นหลัก เพราะมีทั้งรถเมล์และรถสองแถวให้บริการตลอดทั้งวัน เรียกว่าวิ่งแข่งกันทุกๆ 5 นาทีเลยทีเดียวอย่างสายรถเมล์ที่วิ่งเข้ามาในซอยสุขุวิท 71 ก็จะมีสาย 71, 40, 109, 113, 115, 173 และ 501 เป็นต้น


ส่วนรถสองแถวก็แบ่งออกเป็นสองช่วง ถ้าใครอยากไปทองหล่อให้ขึ้นรถสองแถวคันแดง แต่ถ้าจะไปแยกคลองตันต้องขึ้นรถสองแถวสีฟ้าแทน


นอกจากนี้ท้ายซอยปรีดีพนมยงค์ 2 ยังมีทางขึ้น-ลงทางด่วนอยู่อีกหนึ่งจุด ให้เราเชื่อมต่อไปที่ต่างๆ ได้หลากหลายทั้งพัฒนาการ, อโศก, แจ้งวัฒนะ-ดินแดง, ศรีนครินทร์, ลาดพร้าว, เกษตรฯ-นวมินทร์, รามอินทรา ลากยาวไปถึงกาญจนาภิเษก ซึ่งแต่ละย่านล้วนเป็นย่านสำคัญของกรุงเทพฯ ทั้งนั้น


ขับตรงไปอีกหน่อยจะเจอป้ายบอกทางลัดไปย่านเอกมัย อยู่ที่ซอยปรีดีย์ พนมยงค์ 31 ช่วยเราประหยัดเวลาเดินทางไปทำงานได้เยอะ


หรือถ้าขับไปจนสุดซอยก็จะเป็นสี่แยกคลองตัน จุดเชื่อมต่อของถนนสี่สาย สุขุมวิท 71, พัฒนาการ, เพชรบุรีตัดใหม่ และรามคำแหง โดยรถส่วนใหญ่ที่วิ่งผ่านแยกนี้จะเป็นของคนในพื้นที่ที่ต้องเดินทางไปกลับที่ทำงานเป็นประจำ ทำให้มีรถมากแค่ชั่วโมง Rush Hour ส่วนเวลาอื่นก็สามารถวิ่งได้เรื่อยๆ


แถมบริเวณนี้ยังมีร้านค้าและร้านอาหารเปิดขายกันตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะช่วงตลาดคลองตันที่จะดูคึกคักเป็นพิเศษ เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้ารวมถึงผู้คนที่ต่างเข้ามาหาซื้อผลไม้ ของสดกลับห้อง หรือแวะทานอาหารเช้ากันก่อนออกไปทำงาน


ขยับจากแยกคลองตันไปประมาณ 300 เมตร เราจะเจอกับอีกหนึ่งตัวเลือกการเดินทางที่ช่วยให้เราบริหารเวลาได้ดีขึ้นอย่าง ท่าเรือโดยสารสะพานคลองตัน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวายบนท้องถนน แถมยังประหยัดค่าเดินทางแค่ 10 กว่าบาทก็เข้าเมืองได้รวดเร็วเหมือนกัน


ใกล้ๆ กันจะมีวินรถสองแถวตั้งอยู่ใต้สะพานข้ามคลองแสนแสบ ถ้าเรานั่งจากตรงนี้ก็ไม่ต้องแย่งกับใคร โดยรถจะวิ่งรับส่งตั้งแต่ท่าเรือคลองตัน เข้าสุขุมวิท 71 ไปจนถึงสถานีรถไฟฟ้า BTS


สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนไปใช้แอร์พอร์ต ลิ้งค์ก็สามารถนั่งเรือต่อไปอีกหนึ่งท่า ลงท่าเรือรามหนึ่งที่เชื่อมกับ Airport Link สถานีรามคำแหง เราจึงพบเห็นชาวต่างชาติมาใช้บริการอยู่บ่อยๆ หรือจะเดินมาจากแยกคลองตันก็เป็นระยะทางที่ไม่ไกลมากนัก สามารถเดินเลียบคลองมาได้เรื่อยๆ ห่างจากท่าเรือคลองตันเพียง 160 เมตร


เดินออกจากท่าเรือรามหนึ่งมาเล็กน้อยก็จะทะลุ แอร์พอร์ต ลิ้งค์ รามคำแหง ตั้งอยู่ติดถนนรามคำแหง เพื่อให้เรามุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้อย่างสะดวกรวดเร็ว


หรือจะเปลี่ยนไปนั่งรถไฟไทยแทนก็ดู Slow life เหมาะสำหรับคนที่อยากลองนั่งรับลมชิลล์ๆ ชมบรรยากาศริมทางเพลินๆ เพราะใกล้กับ Airport Link จะมีจุดหยุดรถไฟให้เราขึ้นแล้วออกไปเที่ยวต่างจังหวัดฝั่งตะวันออกอย่าง ฉะเชิงเทรา, ปราจีน, ชลบุรี ไปสิ้นสุดที่อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว หรือจะนั่งย้อนกลับเข้ามาในตัวเมืองก็มีสถานีอินเตอร์เชนจ์อย่าง


  • สถานีรถไฟอโศก เชื่อมกับ MRT เพชรบุรี และ Airport Link มักกะสัน
  • สถานีรถไฟพญาไท เชื่อมกับ Airport Link พญาไท 
  • สถานีรถไฟกรุงเทพฯ เชื่อมกับ MRT หัวลำโพง


นับเป็นอีกจุดหนึ่งเชื่อมต่อที่อยู่ไม่ไกลจากย่านพระโขนงมากนัก เรียกว่าไม่ว่าจะไปที่ใด...มุมใด...หรือรูปแบบใด ก็ล้วนตอบโจทย์คนเมืองที่ชอบการเดินทางทั้งสิ้น ช่วยเปลี่ยนวันว่างของคุณให้มีสีสันขึ้นในพริบตา ขณะเดียวกัน...หากเราลองหมุนไปมองรอบๆ ตัวก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้ว "พระโขนง" ก็เป็นหนึ่งย่านที่มีเสน่ห์แฝงอยู่เยอะ...จนเราหลงรักที่นี่ได้ไม่ยาก


หลงงานศิลป์...ดื่มด่ำบรรยากาศสุดชิลล์
เพราะที่นี่ คือ พระโขนง 


อยู่ "พระโขนง" อย่างเรียบง่าย...กลมกลืน...ไม่แปลกแยก

ถ้าพูดถึง พระโขนง หลายคนจะต้องนึกถึงบรรยากาศของชุมชนดั้งเดิมที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แบบไทยย้อนยุค ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตส่วนใหญ่จะยังคงราบเรียบ ไม่ไหลไปตามกระแสนิยม


สิ่งปลูกสร้างหรือการตกแต่งต่างๆ จึงยังมีกลิ่นอายของความคลาสสิกเจือจางอยู่ นับเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากและต่างจากทำเลอื่นๆ ที่อยู่ใกล้กับเขต CBD ที่ส่วนใหญ่แล้วมักถูกปล่อยทิ้งให้เลือนหายไปตามกาลเวลา


แต่ด้วยอิทธิพลความเจริญของสังคมเมืองที่มีเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้พระโขนงถูกปรับลุคปรุงโฉมจนดูทันสมัย และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่ก็ใช่ว่าจะกลายเป็นเมืองศิลิไลซ์ไปเลยเสียทีเดียว เพราะผู้คนส่วนใหญ่ยังติดวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม อยู่ง่าย กินง่าย เน้นใช้ชีวิตสบายๆ ตามใจตัวเองอยู่


หากใครมีโอกาสได้เดินเล่นที่พระโขนงอย่างเราในวันนี้ จะพบว่าย่านพระโขนงเป็นอีกทำเลที่มีความหลากหลายสูงมาก มีร้านอาหารไทยตั้งอยู่คู่กับร้านอาหารญี่ปุ่นได้อย่างไม่เก้อเขิน แถมยังดูลงตัวอย่างประหลาด


เรื่องอาหารการกินไม่ต้องพูดถึง เพราะถ้าลองนับร้านอาหาร, คาเฟ่ และสตรีทฟู้ดส์ที่ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 71 รวมๆ กันแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 50 ร้าน แถมหน้าตายังน่าทานมีหลากหลายสัญชาติทั้งไทย, จีน, ญี่ปุ่น, อเมริกัน ว่าแล้วก็อดใจไม่ไหวขอประเดิมร้านแรกกันก่อนเลยดีกว่า...


"แป้นปลื้ม" ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น-หมูตุ๋นที่ส่งกลิ่นหอมเรียกเราตั้งแต่ยังไม่เดินเข้าร้าน เมนูแนะนำจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นสนนราคาอยู่ที่ชามละ 80 บาท รสชาติออกไปทางหวานนิดๆ แนะนำให้ชิมก่อนปรุง ส่วนใครที่ไม่ชอบทานเนื้อก็มีเมนูหมูตุ๋นให้เลือกทานชามละ 60 - 65 บาท หรือจะสั่งเมนูทานเล่นเบาๆ อย่างลวกจิ้ม, ลูกชิ้นปิ้ง, ยำลูกชิ้นก็น่าอร่อยไม่แพ้กันเลย


เดินออกจากร้านก๋วยเตี๋ยวมาทางต้นซอยเรื่อยๆ จะเจอ Max Valu ศูนย์การค้าเจ้าถิ่นในย่านพระโขนง ที่มีทั้งของสดอาหารแห้ง รวมถึงร้านอาหารเจ้าดังอย่าง MK, Yayoi, KFC ให้เราเข้าไปนั่งหลบร้อน เหมาะสำหรับคนที่เลิกงานดึกๆ แล้วไม่รู้จะแวะซื้อของหรือทานข้าวที่ไหนดี อย่างน้อยก็มีที่นี่เปิดให้บริการอยู่ตลอด 24 ชัวโมง


ส่วนฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้างเปิดใหม่ Makro Foodservice ที่เพิ่งเปิดให้บริการได้ไม่นาน แต่ได้รับความสนใจจากคนพระโขนงไม่น้อย เพราะครบครันไปด้วยสินค้าราคาไม่แพง เหมาะจะซื้อหาขนมและวัตถุดิบกลับไปทำอาหารทานเองที่ห้อง


แต่ถ้าใครอยากได้ของสด ราคาถูก พร้อมซึมซับบรรยากาศความเป็นพระโขนงอย่างแท้จริงก็ต้องแวะมาที่นี่เลย "ตลาดแสงทิพย์" หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม "พระโขนงพลาซ่า" ตลาดสดตอนเช้าที่อยู่คู่กับย่านพระโขนงมานาน


นอกจากจะเต็มอิ่มด้วยสินค้าของสด ผักผลไม้นานาชนิดแล้ว บรรยากาศภายในตลาดยังเป็นกันเองแบบวิถีชาวบ้านไร้การปรุงแต่ง พ่อค้าแม่ค้าตลอดจนผู้คนที่เดินจับจ่ายใช้สอยก็ล้วนเป็นคนในพื้นที่ พูดจาทักทายกันตลอดทาง คุณย่าคุณยายก็น่ารัก อัธยาศัยดี จนเผลอเดินเพลินรู้ตัวอีกทีก็ทะลุไปอยู่ที่ท้ายตลาดแล้ว


ตลาดเชื่อมกับซอยปรีดีพนมยงค์ 2 ซึ่งเป็นซอยที่มีความแอคทีฟตลอดทั้งวัน ตั้งแต่ต้นซอยไปจนถึงท้ายซอยเต็มไปด้วยร้านอาหาร, ร้านขนม และร้านสะดวกซื้อให้เราเลือกซื้อกันสนุกสนานตลอดสองฝั่งทาง


นี่ยังไม่นับรวมรถเข็น Street Food สไตล์บ้านๆ ที่ต่างแวะเข้ามาเติมสีสันให้กับการอยู่อาศัย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนพระโขนงถึงไม่อยากย้ายถิ่นฐานไปไหน แม้แต่คนนอกพื้นที่ตลอดจนชาวต่างชาติเอง ก็อยากย้ายเข้ามาอยู่ในย่านนี้ด้วยเช่นกัน


Let’s take afternoon tea!


เมื่อออกมาจากซอยปรีดีพนมยงค์ 2 ฝั่งตรงข้ามจะมีทางให้เราเดินทะลุไป W District ได้ที่ซอยปรีดีพนมยงค์ 3 เส้นทางเล็กๆ ที่จะพาเราเข้าสู่ช่วงเวลาพักผ่อน หลากหลายด้วยไลฟ์สไตล์ที่ไม่ซ้ำกัน ไม่ว่าจะชิม จะชม หรือชิลล์ก็มีครบทุกรสชาติ


ขอผ่อนคลายร่างกายกันที่ "The Orange's Tea" ร้านชาสไตล์อบอุ่นที่จะทำให้เวลาของเราหมุนช้าลงโดยไม่รู้ตัว ร้านตั้งอยู่ห่างจากปากซอยประมาณ 200 เมตร หรือถ้าเดินมาจากสถานี BTS พระโขนงก็สามารถลัดเข้า W DISTRICT แล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่ออีกเล็กน้อย


ร้าน The Orange's Tea ให้ความสำคัญกับการชงชาแต่ละถ้วย ด้วยการปรุงชาที่ต้องคอยเวลารอให้ชาส่งกลิ่นหอม และได้รสชาติในเวลาและอุณหภูมิที่เหมาะสม อย่าง ชาดำ ที่ต้องใช้น้ำร้อนอุณหภูมิ 80-90 องศา ต้มทิ้งไว้ 3-5 นาทีจึงจะได้ชาที่มีคุณภาพ


แต่อากาศร้อนๆ แบบนี้ก็ขอเครื่องดื่มเย็นๆ มาช่วยเพิ่มความสดชื่นเสียหน่อยจะดีกว่า อย่างเมนู Cold Heart Nitro ชาอู่หลงสีทองที่ทางร้านเลือกใช้กรรมวิธี Cold Brew แช่ทิ้งไว้ข้ามคืนเพื่อให้ชายังคงกลิ่นหอมและมีความขมน้อยลง ก่อนจะนำไปปรุงด้วยน้ำเชื่อมกุหลาบ แล้วเพิ่มสัมผัสละมุนด้วยการทำ Nitro จนเกิดฟองขาว ดื่มแล้วสดชื่นให้ความรู้สึกนุ่มลึก ถ้าใครที่ชอบกาแฟ Nitro เป็นทุนเดิมอยู่แล้วแนะนำให้มาลองตัวนี้ดู เผื่อคุณจะติดใจ


ต่อด้วย Dark Paradise Iced Tea ที่ผ่านการสร้างสรรค์ เพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้กับการดื่มชาของคุณ ด้วยการเบรนชาดำแบบเต็มใบเข้ากับไซรัปผลไม้แท้สูตรโฮมเมด แล้วตกแต่งเพิ่มความสดชื่นด้วยผลไม้ตระกูลซีตรัสกับเบอร์รี่ รสชาติที่ได้จึงค่อนข้างเข้มข้นแต่ไม่ขม


นอกจากนี้ทางร้านยังมีใบชาอบแห้งขาย ให้เราพกกลับไปชงเองที่บ้าน ราคากระปุกละ 180-390 บาทแต่ชงได้เยอะ ใช้แค่หนึ่งช้อนชาก็เพียงพอแล้วกับชาดีๆ สักแก้ว


ร้านเปิดทุกวัน (ยกเว้นวันอังคาร) ตั้งแต่เวลา 10.30 - 19.30 น. หากใครสนใจลองมาชิมชาสูตรอื่นๆ ของทางร้านได้ แถมมีขนมหวานให้ทานคู่กันด้วย


และไม่ใช่แค่บรรยากาศของวิถีชุมชนเก่าเท่านั้นที่เป็นเสน่ห์ของพระโขนง แต่ที่นี่ยังมีอีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจคือ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ และไลฟ์สไตล์ชีวิตที่ผสมกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว จึงไม่แปลก...ถ้าวันหนึ่งเราจะเห็นชาวต่างชาติมานั่งจับเข่าคุยกับแม่ค้า เดินซื้อของกินตามรถเข็น และใช้ชีวิตสบายๆ สไตล์พระโขนง


Welcome to Phra khanong Style


"พระโขนง" คือความหลากหลายที่ลงตัว ทุกรูปแบบชีวิต

ปัจจุบันไม่ใช่แค่ชาวญี่ปุ่นหรือคนเกาเหลีเท่านั้น ที่หันมาลงหลักปักฐานเปิดร้านอาหารกันที่นี่ แต่ชาติตะวันตกเองก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพระโขนงเป็นทำเลที่มีความเป็นตัวเองสูง ทำให้ผู้มาใหม่จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อไม่ให้เกิดความแปลกแยกและเสพติดวิถีชีวิตเรียบง่ายไปโดยไม่ทันตั้งตัว

อย่างภาพที่เราเห็นจนชินตาจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ชาวต่างชาติเดินจูงลูกน้อยกลับจากโรงเรียน หรือเข็นเจ้าตัวเล็กไปตามทางเดินพาทัวร์พระโขนงในช่วงเย็นๆ ซึ่งถ้าใครไม่รีบร้อนนักก็ลองชวนกันเดินกลับห้องดูสักครั้ง เผื่อเราจะได้เรื่องราวระหว่างทางติดมือกลับไปด้วย


และนอกจากไลฟ์สไตล์ดีๆ ที่ช่วยเพิ่มความสุขให้คนพระโขนงแล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งอำนวยสะดวกที่ตอบโจทย์กลุ่มคนหลากหลายสัญชาติ


ให้เราส่งลูกหลานไปศึกษาหาความรู้กันได้อย่างหมดห่วง เพราะมีโรงเรียนชั้นนำตั้งอยู่ใกล้บ้าน สามารถเลือกได้ทั้งโรงเรียนไทยและนานาชาติอย่าง โรงเรียนไทยคริสเตียน อยู่ในซอยปรีดีพนมยงค์ 41 ซึ่งมีทางเชื่อมออกไปซอยเอกมัย 22


และอีกหนึ่งซอยทางลัดที่คนนิยมใช้กันก็คือ ซอยปรีดีพนมยงค์ 31 ถนนสองเลนที่ตัดตรงออกไปถึงเอกมัย 12 ภายในซอยเป็นที่ตั้งของโรงเรียนนานาชาติเอกมัย หากใครต้องมารอรับลูกส่งหลานเป็นประจำ แล้วไม่รู้จะไปไหนต่อดี ในซอยนี้ก็มีร้านอาหารและคาเฟ่หลากสไตล์ให้นั่งชิลล์ จิบกาแฟ ถ่ายรูปเล่น อย่างคาเฟ่ที่เราจะพาไปนั่งกันช่วงบ่ายก็เป็นหนึ่งร้านที่มีชาวต่างชาติแวะเวียนเข้ามาไม่ขาดสาย


See Found Tell บอกเล่าเรื่องราวผ่านความทรงจำ


Featherstone Café Bistro & Lifestyle shop เป็นคาเฟ่ไลฟ์สไตล์ที่ให้เราช็อปและชิมได้ในร้านเดียว ด้วยความชอบส่วนตัวของเจ้าของร้านที่มักเดินทางท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ จนเกิดเป็นความประทับใจอยากบอกเล่าเรื่องราวดีๆ ผ่านของเก่าและของที่ระลึก


ตัวร้านตกแต่งสไตล์โกธิค ดูเคร่งขรึมแต่มีเสน่ห์ด้วยการเล่นสีน้ำเงินตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้และโต๊ะลายหินอ่อนสไตล์แอนทีค เพดานยกสูงเป็นพิเศษจึงให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง เหมาะจะชวนเพื่อนมานั่งเล่นระหว่างวัน


ทางร้านแบ่งโซนที่นั่งออกเป็น 2 โซนคือ โซนด้านล่างสำหรับการนั่งชิลล์ๆ กับ โซนส่วนตัวที่อยู่ทางด้านบน เหมาะสำหรับการสังสรรค์หรือมากันเป็นครอบครัว ภายในร้านมีทั้งโต๊ะเดี่ยว, โต๊ะคู่ และโต๊ะแบบกลุ่มให้เราเลือกนั่งตามต้องการ ส่วนใครที่มาเป็นกลุ่มใหญ่หน่อย อาจขยับเข้าไปนั่งตรงโซนด้านในใกล้ๆ กับชอปขายของแทนก็ได้


เอาใจสาย Cake Lover ด้วยเมนูสุดอร่อยอย่าง บานอฟฟี่ เค้กชิ้นสามเหลี่ยมที่ให้ส่วนผสมอัดแน่นทั้งกล้วยและมูสช็อกโกแลต รสชาติยามตักเข้าปากก็ไม่ได้หวานเลี่ยนจนเกินไป ตัวฐานทำจากคุกกี้โอริโอ้ผสมเนย มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของคาราเมลและกล้วยลอยเข้าจมูกพอให้รู้สึกฟิน ยิ่งทานคำใหญ่ๆ ยิ่งอร่อยเต็มปากเต็มคำ


ตัดความเลี่ยนกันด้วย Wild Gardenia (140 บาท) เครื่องดื่มโซดาซ่ารสชาติเปรี้ยวอมหวานที่น่าจะถูกใจสาวๆ หลายคน แถมยังถ่ายรูปสวยเพราะทางร้านได้ใช้ดอกไม้หลากสีมาทำเป็นน้ำแข็ง เวลาทานต้องค่อยๆ เทน้ำเชื่อมกลิ่นลาเวนเดอร์สีม่วงสดใส แล้วใส่โซดาเพิ่มความสดชื่นตามลงไป


หรือใครจะสั่งเป็น Peach Pie Moonshine (140 บาท) ก็น่าทานไม่แพ้กัน แค่เปลี่ยนเป็นน้ำเชื่อมกลิ่นพีชสีสวย เสิร์ฟพร้อมพีชชิ้นเล็กๆ พอดีคำ ส่วนรสชาตินั้นจะออกเปรี้ยวกว่า Wild Gardenia เล็กน้อยเพราะได้เลมอนมาช่วยเพิ่มความกลมกล่อม แถมยังมีชิ้นพีชมาให้เคี้ยวเล่นเมื่อน้ำแข็งละลายหมด


หากทานจนหนำใจแล้ว...ก่อนออกจากร้านก็อย่าลืมแวะเข้าไปดูที่โซน Lifestyle Shop กันสักหน่อย เพราะสินค้าแต่ละชิ้น เครื่อประดับแต่ละแบบล้วนมีดีไซน์โดดเด่น จัดวางไว้ในห้องที่ออกแบบคล้ายบ้านไม้สไตล์ยุโรป มีกลิ่นอายของ French Country ลอยอยู่ชัดเจนให้ความรู้สึกแปลกใหม่ต่างไปจากร้านอื่นๆ ในย่านพระโขนง-เอกมัย


ในเมื่อชื่อร้านเองก็บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของตัวร้านชัดเจนขนาดนี้ สินค้าส่วนใหญ่จึงเน้นไปทางผลิตภัณฑ์เครื่องหนัง, กระเป๋าสาน, เครื่องประดับที่ทำจากหินและขนนก สาวๆ คนไหนที่ชอบแต่งตัวสไตล์ยิปซี-โบฮีเมียนอยู่เเล้วคงถูกใจไม่น้อยเลย


และไม่ใช่แค่เครื่องประดับเท่านั้นที่ทางร้านนำมาให้เราเลือกชม แต่ในร้านยังมีหินสี หินนำโชคที่ถูกเจียเป็นทรงสวย ยิ่งจับมาวางคู่กับขนนกหรือโชว์อยู่ในกล่องไม้ก็ยิ่งขับให้หินดูมีมนต์ขลัง ถ้าใครอยากซื้อไปฝากคนรู้ใจแนะนำให้ซื้อแบบใส่ขวดเล็กๆ ดูน่ารักพกพาง่าย หรือจะวางตั้งโชว์ในห้องก็เก๋ไม่เบา


แม้แต่ของที่ระลึกอื่นๆ ก็มีดีไซน์น่ารักไม่แพ้กัน ทั้งต่างหู, ผ้าพันคอ หรือกล่องดนตรีก็ล้วนมี Gimmick น่าสนใจเหมาะจะซื้อเป็นของขวัญให้กับคนที่รัก


ร้าน Featherstone Bistro Café & Lifestyle shop ตั้งอยู่กลางๆ ซอยเอกมัย 12 เปิดทุกวัน (ยกเว้นวันอังคาร) ตั้งแต่เวลา 10.30 - 22.00 น. ที่จอดรถให้เรียบร้อย


กระโดดจากในซอยออกมาใช้ชีวิตติดถนนใหญ่กันดูบ้าง แล้วเราจะเจอ Community Mall อยู่ติด BTS พระโขนง ที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนเข้ามาตั้งแต่เช้าถึงเย็น ภายใต้ชื่อ Summer Hill (ซัมเมอร์ ฮิลล์)


หากจะบอกว่า Summer Hill (ซัมเมอร์ ฮิลล์) เป็นแลนด์มาร์คน้องใหม่ในย่านพระโขนงก็คงไม่ผิดเท่าไร เพราะเพิ่งเปิดได้ไม่นานแต่กลับมีนักท่องเที่ยวทั้งเจ้าถิ่นและขาจรเข้ามาใช้บริการกันเกือบทั้งวัน โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่พักอาศัยอยู่ในย่านนี้ รวมถึงนักธุรกิจ คนทำงานที่ชอบแวะมาพักจิบกาแฟหลบร้อนกันด้วย


ภายในประกอบด้วยร้านค้า ร้านอาหารมากมายหลายสัญชาติ ยิ่งใครมาช่วงเย็นๆ หลังเลิกงานแล้วล่ะก็ ตรงบริเวณลาน Event มักจะมีกิจกรรมออกบูธขายของกันเป็นประจำ เช่นงาน Food Truck Event ที่จัดตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงห้าทุ่ม ให้เราหยุดชิมของอร่อยแนวสตรีทฟู้ดส์กันก่อนกลับเข้าห้องไปพักผ่อน


หรือใครอยากหาที่นั่งทำงาน บริเวณด้านบนก็มี Co-Working Space ให้เรายกโน้ตบุ๊คเข้าไปนั่งทำกันได้ที่ “O Spaces” ด้านในมีโต๊ะพร้อมปลั๊กไฟและ Wifi ให้บริการ สามารถนั่งทำงานหรืออ่านหนังสือท่ามกลางบรรยากาศสงบได้ทั้งวัน โดยตรงมุมห้องจะมีบาร์ขนมและเครื่องดื่มให้เราฝากท้องได้ยามหิว


และอีกหนึ่งจุดแลนด์มาร์คที่เป็นแหล่งรวมตัวของชาวต่างชาติ ไม่ใกล้ไม่ไกลจาก BTS พระโขนงเลยก็คือ W DISTRICT ที่ๆ เป็นเหมือน Art Gallery แบบ Outdoor ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนก็เจอแต่ร้านตกแต่งสวย, ภาพกราฟฟิตี้และผลงานศิลปะฮิปๆ ที่ช่วยสร้างสีสันแปลกใหม่ให้กับย่านนี้


แต่ถ้าใครมาเดินถ่ายรูปเล่นในช่วงกลางวันก็อาจจะร้อนไปหน่อย เพราะพื้นที่ศิลปะส่วนใหญ่ตั้งอยู่ลานกลางแจ้งแบบเปิดโล่ง ฉะนั้นเราจึงขอไปหาอะไรทานรอแดดร่มเสียก่อนแล้วค่อยออกมาแฮงค์เอ้าท์กันต่อ โดยร้านที่เราจะพาไปชิมในมื้อเย็นนี้จะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น สไตล์โอกินาวาแท้ๆ


こんばんは ที่นี่คือ พระโขนง


ถัดจากสุขุมวิท 71 ไปหนึ่งซอยจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ ซ่อนอยู่ หากมองจากนอกร้านอาจดูไม่โดดเด่นอะไรนัก แต่เมื่อเลื่อนประตูเปิดเข้าไป...กลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของร้านนี้อย่างชัดเจนที่ Okinawa Kinjo (โอกินาวา กินโจ)


เมื่อมาถึงก็ไม่รอช้า...รีบจองที่นั่งสั่งเมนูเซตอาหารญี่ปุ่นที่เสิร์ฟมาให้เราทีเดียวถึง 5 จาน เริ่มที่เมนูหลักจานแรกอย่าง 'โกยะจัมปุรุ โอกินาวา' อาหารสุขภาพสำหรับทุกคนในครอบครัว เสิร์ฟคู่กับข้าวญี่ปุ่นและ 'โอกินาวาโซบะ' มี 'คูบุอิริจิ' สาหร่ายคอมบุผัดกับหมูเป็นเครื่องเคียง และปิดท้ายด้วย 'จิมามิโทฟุ' เต้าหู้ถั่วลิสง รับรองว่ามื้อนี้อิ่มถึงเช้าแน่นอน


'โกยะจัมปุรุ โอกินาวา' เป็นเมนูขายดีของร้าน ใช้มะระผัดเข้ากับถั่วงอก, แครอท, ไข่และหมู พร้อมปรุงให้ได้รสชาติดั้งเดิมจากโกยะล้วนๆ ไม่เลี่ยน ไม่ชุ่มน้ำมันจึงเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพมากๆ


จานถัดมาเป็น 'โอกินาวาโซบะ' ราดด้วยน้ำซุบกระดูกหมูที่ผ่านการเคี้ยวมาหลายชั่วโมง ได้รสชาติและกลิ่นหอมจากปลาแห้งสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ซดแล้วคล่องคอเพราะทุกจานล้วนไม่ใส่ผงชูรส สิ่งที่ได้จึงยังคงความเป็นธรรมชาติจากวัตถุดิบธรรมชาติ


และก็มาถึงจานสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุดอย่าง 'หมูคุโรบุตะผัดกิมจิ' ที่ให้รสชาติเผ็ดนิดๆ หวานติดปลายลิ้นหน่อยๆ ช่วยเพิ่มรสชาติให้มื้อนี้จัดจ้านขึ้น ยิ่งทานคู่กับข้าวญี่ปุ่นเนื้อนิ่มเรียงตัวสวยยิ่งลงตัว


มีโอกาสมานั่งร้านโอกินาวาทั้งทีก็ต้องลองเมนูต้นฉบับโอกินาวาอย่าง 'เต้าหู้นิ่มท็อปด้วยปลาดิบหลากหน้า' รสชาติออกเค็มสร้างความแปลกใหม่ให้มื้อนี้ได้ไม่น้อย


เมื่ออิ่มท้องแล้วจึงมีเวลานั่งมองบรรยากาศร้านต่อบ้าง ภายในตกแต่งแบบญี่ปุ่นออริจินอล ปูพื้นด้วยเสื่อทาทามิ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น, ภาพติดผนังทุกภาพ, โคมไฟทุกดวงล้วนสะท้อนวัฒนธรรมของญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งเราไม่ค่อยพบเจอที่ไหน แม้แต่เสียงเพลงที่ใช้ยังมีความคลาสสิก หากเทียบกับเพลงไทยคงคล้ายๆ กับเพลงลูกกรุงของที่นู้น


ร้าน Okinawa Kinjo (โอกินาวา กินโจ) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 69 ห่างจาก BTS พระโขนง 150 เมตร เปิดทุกวันตั้งแต่ 11.30 - 00.00 น. หากมานั่งทานช่วงหลังเลิกงานจะเจอชาวญี่ปุ่นที่เป็นทั้งนักท่องเที่ยว และพนักงานออฟฟิศเข้ามาทานจำนวนมาก เพราะอยู่ไม่ไกลจากพร้อมพงษ์ ย่านพักอาศัยของคนญี่ปุ่นเท่าไรนัก


เมื่อความศิวิไลซ์เพิ่งเริ่มต้นขึ้น!!


ต่อให้ตะวันลาลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ความศิวิไลซ์ของพระโขนงยังไม่ได้ลาเราไปด้วย เพราะอย่างที่มีคนเคยบอกว่า "ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว" สีสันยามค่ำคืนของย่านนี้ก็เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน


จาก Art Space ในตอนกลางวันก็เปลี่ยนผันเป็นแหล่ง Hang Out ยามค่ำคืนของคนพระโขนงตลอดจนพื้นที่ข้างเคียง ให้เรานัดพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ ได้ง่ายหรือบางทีเราอาจได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นจากที่นี่ก็ได้


และต่อให้อิ่มสักแค่ไหน แต่ถ้ามาเจอร้านอาหารที่ W DISTRICT แล้วล่ะก็จะต้องหิวอีกรอบแน่นอน เพราะมีให้เลือกหลากหลายทั้งแบบ Food Truck, Street Food, Bar & Bistro เก๋ๆ จนชาวต่างชาติยังต้องมาชิม


นอกจากร้านอาหารแล้วก็มีรูปปั้นชิคๆ จากศิลปินหลากสัญชาติให้เราถ่ายรูปคู่ด้วย ตั้งอวดโฉมอยู่ตามมุมต่างๆ ตั้งแต่หน้าทางเข้าไล่มาจนถึงข้างโต๊ะอาหาร เป็นความ unique ที่หาได้จากที่นี่เท่านั้น


แน่นอนว่า...สิ่งสุดท้ายที่เป็นเสน่ห์สำคัญของพระโขนงเลยก็คือ "ความเป็นกันเอง" ที่ไม่ว่าใครก็สามารถกลมกลืนไปกับย่านนี้ได้ ต่อให้คุณจะเพิ่งย้ายเข้ามาหรืออยู่มานานแล้ว ที่นี่ก็พร้อมเปิดรับและทำความรู้จักเราเสมอ ทำให้พระโขนงเป็นทำเลหนึ่งที่เหมาะสมกับคนที่อยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตลอดจนนักลงทุนและครอบครัวที่ต้องการหาแหล่งพักอาศัยถาวร


ตอนนี้คุณหลงรักพระโขนงแล้วหรือยัง :)


ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่าอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระโขนง อยากมีบรรยากาศการใช้ชีวิตแบบพระโขนงสไตล์ สิ่งแรกที่ควรมองหาอาจไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่อาจเป็นที่พักอาศัยสักแห่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของเราได้ทุกมิติ


อย่างที่ The Nest Sukhumvit 71 (เดอะ เนสท์ สุขุมวิท 71) ได้วางทำเลปักหมุดลงบนถนนสุขุมวิท 71 ซอยปรีดีพนมยงค์ 2 ให้เราออกไปเช็คอินความสนุกกันได้ง่ายๆ ในราคาเริ่มต้นตารางเมตรละ 92,500 บาท


ด้วยการตกแต่งแบบ Fully Furnished เฟอร์นิเจอร์ครบครันดีไซน์อิงไปกับธรรมชาติ ปูพื้นลายไม้ กระเบื้องลายหินอ่อน จึงทำให้เราผ่อนคลายทุกครั้งที่กลับมาพัก


ส่วนใครที่เหนื่อยล้าเกินกว่าจะออกไปเที่ยวไหน อาจเปลี่ยนบรรยากาศมาหาความสุขในโครงการแทน เพราะ The Nest Sukhumvit 71 (เดอะ เนสท์ สุขุมวิท 71) ได้จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้กว่า 16 รายการบนพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง 1 ไร่อยู่กลางโครงการ เช่น Co-Working Space, Meeting Room, Waterfall, Swimming Pool และ Multi-Purpose Room เป็นต้น



นับว่าตอบโจทย์ทุกฟังก์ชันชีวิตของคนรุ่นใหม่ และสำหรับใครที่สนใจสามารถลงทะเบียนรับโปรโมชันพิเศษและข้อมูลโครงการ คลิก!! หรือเข้าไปชมพรีวิวโครงการได้ที่ กักเก็บความเป็นธรรมชาติไว้ใกล้ตัวที่ The Nest Sukhumvit 71 (เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71) สุนทรียภาพของการใช้ชีวิต แล้วคุณอาจจะอยากมาอยู่พระโขนงมากขึ้น


ติดต่อเบอร์ : 02-3818910 , 02-3818911

Website : www.thenestproperty.co.th

Facebook : The Nest Property



เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร...?

Related Stories

Esto Talks

See All >

Living out loud

Living out loud : VANA RESIDENCE พระราม 9 - ศรีนครินทร์