กองทุนบัวหลวง จับมือกลุ่มบริษัท เค.อี. เตรียมจัดตั้งกองทรัสต์ ลงทุนศูนย์การค้าและธุรกิจใกล้เคียง
22 April 2562
กองทุนบัวหลวง ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ เค. อี. รีท แมเนจเมนท์ เตรียมจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รูปแบบใหม่ที่มีผู้จัดการกอง 2 รายร่วมกันบริหาร ตั้งเป้าหมายลงทุนครั้งแรกในศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ 10 โครงการ มูลค่าสินทรัพย์รวมกว่า 11,000 ล้านบาท โดยสินทรัพย์บางส่วนจะมาจากการแปลงสภาพของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์คริสตัล รีเทล โกรท (CRYSTAL)
นายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด (กองทุนบัวหลวง) เปิดเผยว่า หากการจัดตั้งกองทรัสต์นี้สำเร็จ จะเป็นกองแรกของไทยที่มีผู้จัดการกองทรัสต์ 2 รายร่วมกันบริหาร คือ กองทุนบัวหลวง ที่มีความเชี่ยวชาญการบริหารกองทุน และบริษัท เค.อี.รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัท เค.อี. ที่ความชำนาญด้านพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ ทั้งประเภทที่อยู่อาศัยและโครงการศูนย์การค้า
ทั้งนี้ หากจัดตั้งกองทรัสต์นี้แล้ว คาดว่าจะลงทุนครั้งแรกในสิทธิการเช่าระยะยาว ศูนย์การค้าแบบไลฟ์สไตล์ 10 โครงการ มูลค่าสินทรัพย์ กว่า 11,000 ล้านบาท โดยสินทรัพย์บางส่วนของกองทรัสต์นี้จะมาจากการแปลงสภาพของกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์คริสตัล รีเทล โกรท (CRYSTAL) ที่ขณะนี้อยู่ในกระบวนการขอแปลงสภาพจากผู้ถือหน่วยลงทุนเดิม การจัดตั้งกองทรัสต์ในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อผู้ถือหน่วยลงทุนของ CRYSTAL เดิม ทั้งจะเปิดโอกาสสำหรับนักลงทุนใหม่ เพราะว่า เมื่อแปลงสภาพเป็นกองทรัสต์แล้ว ก็จะมีการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง อันเป็นส่วนสำคัญต่อการขยายฐานรายได้ให้มีโอกาสเติบโตต่อเนื่องได้ในระยะยาว
“การมีผู้จัดการกองทรัสต์ 2 ราย จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากจะมีการใช้จุดแข็งของประสบการณ์ในการบริหารกองทุน ประกอบกับความชำนาญในการพัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์นำมาบริหารงานร่วมกัน การบริหารงานจะมีความเป็นอิสระ ทั้งยังมีความคล่องตัวในการคัดเลือกลงทุนในสินทรัพย์ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนของผู้ถือหน่วยทรัสต์เป็นหลัก พร้อมทั้งจะให้ความสำคัญกับลูกค้า ร้านค้าและสร้างความสำเร็จให้ศูนย์การค้าได้ต่อไปในระยะยาว” นายพรชลิต กล่าว
รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า การจัดตั้งกองทรัสต์ครั้งนี้ มีเป้าหมายต้องการพัฒนากองทรัสต์ในประเทศไทยให้เติบโตทัดเทียมกับกองทรัสต์ในต่างประเทศ โดยจะมีความคล่องตัวในการลงทุนโครงการต่างๆ ที่เป็นสินทรัพย์คุณภาพดีและมีศักยภาพเติบโตในระยะยาว อีกทั้งมีข้อได้เปรียบจากการกระจายตัวของสินทรัพย์ในแหล่งที่อยู่อาศัยที่หลากหลาย จะช่วยสนับสนุนให้สินทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และสามารถบริหารต้นทุนการดำเนินงานได้คุ้มค่ามากขึ้น อันจะส่งผลให้สามารถจ่ายผลตอบแทนแก่ผู้ถือหน่วยทรัสต์ได้อย่างมั่นคงและสม่ำเสมอ
“การลงทุนในกองทรัสต์ เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ที่มีระดับความเสี่ยงและการให้ผลตอบแทนกึ่งกลางระหว่างการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการลงทุนตลอดทุกช่วงวัฎจักรเศรษฐกิจ (Staying Invested Through All Market Cycles) ได้ดี โดยกองทรัสต์มีศักยภาพในการเติบโต มีความมั่นคงของรายได้ ทำให้นักลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนสม่ำเสมอและเติบโตไปพร้อมๆ กับธุรกิจได้ ภายใต้ความเสี่ยงที่ไม่สูงเกินไป” นายพรชลิต กล่าว
จากการสำรวจข้อมูลในต่างประเทศ พบว่า กองทรัสต์ประเภทที่ลงทุนในคอมมูนิตี้และไลฟ์ไสตล์ มอลล์ ในสหรัฐอเมริกา จีน และฮ่องกง โดยเฉลี่ยมีผลตอบแทนและการเติบโตสูงกว่ากองทรัสต์ประเภทอื่น เช่น กองทรัสต์ ประเภทช้อปปิ้ง มอลล์ขนาดใหญ่ และยังมีความสามารถปรับตัวรับมือกับ Disruption ที่เกิดจากอี-คอมเมิร์ซ ได้ดีกว่า ในประเทศไทยยังไม่มีกองทรัสต์ประเภทนี้ หากจัดตั้งกองทรัสต์นี้ได้ คาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญช่วยขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้เติบโตเช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศได้
ด้าน นางศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เค.อี. กล่าวว่า กลุ่มบริษัท เค.อี. มีประสบการณ์พัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอมมูนิตี้ มอลล์ มาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี ความร่วมมือกับกองทุนบัวหลวงจัดตั้งกองทรัสต์ในครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้กลุ่มบริษัท เค.อี. จะแสดงศักยภาพความเป็นมืออาชีพเข้าไปบริหารโครงการเพิ่มเติม และทำให้โครงการเหล่านั้นสร้างผลการดำเนินงานได้ดีขึ้น
“ความร่วมมือกับกองทุนบัวหลวง จะช่วยเพิ่มโอกาสรับประโยชน์จากการเพิ่มมูลค่าและสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเราจะร่วมกันบริหารสินทรัพย์ภายใต้แนวคิดเน้นการเติบโตที่มั่นคง ต่อเนื่องและยั่งยืน (Strategic Growth REIT) ด้วยการลงทุนเพิ่มในศูนย์การค้าต่างๆ ทุกปี พร้อมเพิ่มศักยภาพการรวบรวมโครงการศูนย์การค้าต่างๆ เข้าด้วยกัน อันเป็นการผสมผสานสูตรความสำเร็จร่วมกันด้านการตลาด ลูกค้าสัมพันธ์และการบริหารศูนย์การค้า” นางศุภานวิต กล่าว
สำหรับ ธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ล่าสุด ณ สิ้นปี 2561 มีพื้นที่ขายโดยรวมประมาณ 7.5 ล้านตารางเมตร โดยพื้นที่กว่า 5 ล้านตารางเมตร เป็นพื้นที่ของผู้ประกอบการขนาดกลางลงมา ขณะเดียวกันธุรกิจค้าปลีกในประเทศเพื่อนบ้านมีการเติบโตต่อเนื่อง จึงเป็นโอกาสของกองทรัสต์ในการเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ
ภายหลังเข้าบริหารโครงการต่างๆ ที่กองทรัสต์เข้าลงทุนแล้ว เราจะนำเทคโนโลยีและระบบดิจิทัลมาใช้พัฒนาศูนย์การค้าอย่างจริงจัง โดยปัจจุบัน กลุ่มบริษัท เค.อี. นำระบบซอฟต์แวร์ อีอาร์พี ยาร์ดี จากสหรัฐอเมริกา มาพัฒนาพอร์ตโฟลิโอด้านการบริหารร้านค้าและศูนย์การค้า
นอกจากนี้ ยังริเริ่มนำระบบแอปพลิเคชันสำหรับสะสมแต้มที่ทันสมัยที่สุดมาให้ลูกค้าในศูนย์การค้า เพื่อจูงใจให้เข้ามาใช้บริการ ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของการมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า และจะสร้างพันธมิตรร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีหลายๆ ด้าน เช่น อี-คอมเมิร์ซ ส่งอาหาร โลจิสติกส์ การเดินทาง และสุขภาพ เป็นต้น