เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ตั้งเป้าทำรายได้โตสองเท่า ขึ้นแท่นเป็นผู้ประกอบการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย
12 April 2565
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมและการลงทุนชั้นนำในเครือบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าผลประกอบการเติบโตสูงสุดในปีนี้ ทุบสถิติโกยรายได้สูงสุด 8.5 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 2 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) ที่ทำรายได้อยู่ที่ 4.5 พันล้านบาท ด้วยปัจจัยหนุนจากการฟื้นฟูของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง นโยบายด้านการบริหารจัดการและการลงทุนโรงแรมแบบกระจายความเสี่ยง ตลอดจนการยกระดับการบริการเพื่อสอดคล้องต่อความต้องการสูงสุดของนักท่องเที่ยว การเพิ่มช่องทางการจองที่พักโรงแรมโดยตรง (Direct Booking) ทำให้บริษัทฯ เตรียมก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทย
ความต้องการที่ ‘อั้น’ ไว้ตลอดช่วงโควิดกระตุ้นให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
นายเดิร์ก เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในหลายภาคส่วนของโลกกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เราคาดการณ์ว่าธุรกิจโรงแรมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงโรงแรมของเราที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมสูงสุดทั้ง 5 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ที่คาดว่าจะสร้างรายได้เป็นสัดส่วนของรายได้รวมทั้งหมดร้อยละ 44 และ 28 ตามลำดับ”
“ในสหราชอาณาจักร นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ารายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) จะฟื้นตัวกลับมาเท่ากับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งนี้ ความนิยมในการการจัดงานอีเว้นท์ต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมไมซ์ (Meetings, Incentive Travel, Conventions, Exhibitions หรือ MICE) ซึ่งกว่าร้อยละ 50 จะเป็นการจัดงานแบบพบปะกันของผู้เข้าร่วมงานที่โรงแรม อาจเอื้อให้ RevPAR สามารถเพิ่มขึ้นอีกจนกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร (Pre-Brexit) ขณะเดียวกันคาดว่าโรงแรมในสาธารณรัฐมัลดีฟส์จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวทยอยเดินทางท่องเที่ยวมายังสาธารณรัฐมัลดีฟส์อย่างต่อเนื่อง โดยยังพบว่าผลกระทบจากประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศที่กำลังเกิดขึ้นเป็นไปอย่างจำกัดดังจะเห็นได้จากนักท่องเที่ยวที่มาเยือนในห้วงเวลาดังกล่าวมีจำนวนทั้งสิ้น 168,491 คน ซึ่งมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2563 และ 2564 เกินกว่าร้อยละ 45 เนื่องจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากประเทศทางแถบยุโรปและตะวันออกกลาง นอกจากนี้ รัฐบาลของสาธารณรัฐมัลดีฟส์คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวในปี 2565 ประมาณ 1.6 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 21 เมื่อเทียบกับปีผ่านมา นอกจากนี้ยังคาดว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศอื่น ได้แก่ สาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ สาธารณรัฐมอริเซียส และประเทศไทย จะยังสามารถเติบโตต่อไป เนื่องจากรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เริ่มออกมาตรการผ่อนปรนด้านการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวภายหลังการแพร่ระบาด ด้วยปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมด เรามั่นใจอย่างมากว่าเราจะได้รับอานิสงส์จาก “มาโครเทรนด์” (macro trends) อย่างมหาศาล เนื่องจากจำนวนของแขกผู้เข้าพักในโรงแรมของเรากลับมาใช้บริการซ้ำโดยเฉลี่ยร้อยละ 30”
การนำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวอันน่าประทับใจช่วยสร้างอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) เพิ่มขึ้นร้อยละ 20-25
ความสำเร็จในการปรับโฉมโรงแรมใหม่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มในด้านต่าง ๆ ให้แก่โรงแรม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและไลฟสไตล์ของแขกผู้เข้าพักยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสริมที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ในปี 2565 นอกจากนี้การจัดแพ็กเกจที่พักสุดพิเศษพร้อมด้วยกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่ไม่เหมือนใคร เช่น การมีศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล หรือ Marine Discovery Centre ที่ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) หรือ ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมมัลดีฟส์ (Maldives Discovery Centre) ที่ โครงการ ครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความทันสมัย และหลงใหลในความงดงามของธรรมชาติแวดล้อมของสถานที่ท่องเที่ยวให้ใช้จ่ายเพิ่มได้ถึงร้อยละ 15 โดยคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะช่วยสร้างรายได้เฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นร้อยละ 20-25 ให้กับโรงแรมในปีนี้
บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงโรงแรม 3 แห่งเพื่อให้ได้มาตรฐานและมีภาพลักษณ์สอดคล้องกับการเปลี่ยนเป็นแบรนด์ SAii ซึ่งเป็นแบรนด์ที่บริษัทฯ สร้างขึ้น และเป็นแพลตฟอร์มโรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง (Self-Managed Platform) การใช้แบรนด์ SAii จะเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการปรับลุคในครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถช่วยกระตุ้นอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2563
กลยุทธ์จองที่พักโดยตรง ดันรายได้โตต่อ
ยิ่งไปกว่านี้ กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจโดยใช้การตลาดและการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับการจองที่พักโดยตรงด้วยตนเอง สนับสนุนให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ต่างๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ในปีที่แล้วรายได้จากช่องทางจองที่พักโดยตรงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากแพลตฟอร์มสำหรับการจองห้องพักของบริษัทฯถูกปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ทำให้การจองห้องพักเป็นไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว สร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับแขกผู้เข้าพัก ในปีนี้บริษัทฯคาดว่ารายได้จากช่องทางดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 ในปีก่อน ๆ โดยเฉลี่ย เป็นร้อยละ 30 ของรายได้รวมทั้งหมด
แผนการเติบโตชัดเจน มั่นใจโต 3 เท่า รั้งตำแหน่งผู้นำตลาด
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการวางแผนการลงทุน 3 ปี และวางงบการลงทุนกว่า 7.3 พันล้านบาท เพื่อขยายการลงทุนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และวางงบกว่า 2.8 พันล้านบาทเพื่อเสริมแกร่งกลยุทธ์หมุนเวียนและต่อยอดการลงทุน (Asset Rotation) ตลอดจนการลงทุนในการก่อสร้าง SO/Maldives ซึ่งมีแผนเปิดตัวโครงการในปี 2566 นอกจากนี้ยังวางงบลงทุนเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and acquisition) เพิ่มเติมอีก 4.5 พันล้านบาท
“ในอีก 3 ปีข้างหน้า เรามุ่งเดินหน้าพัฒนาและขยายธุรกิจในทุกรูปแบบเพื่อทำให้บริษัทฯ เติบโตต่อไปในอนาคตหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด 19 เริ่มคลี่คลาย เราจะยังคงรักษาพอร์ตโรงแรมของเราให้อยู่ในระดับสมดุลอยู่เสมอ โดยปลดล็อคทรัพย์สินที่เต็มมูลค่าแล้วเพื่อปรับปรุงทรัพย์สินในพอร์ตที่มีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเราได้เริ่มดำเนินการปรับพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรเป็นพอรต์แรก สำหรับแผนการลงทุนใหม่ เรามีแผนในการขยายธุรกิจผ่านการซื้อและควบรวมกิจการ โดยกำลังมองหาโรงแรมในแถบชายฝั่งทะเลเอเชียและแปซิฟิก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรอินเดีย โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 4.5 พันล้านบาท นอกจากนี้เรายังมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้ประกอบการและบริหารธุรกิจโรงแรมภายใต้แบรนด์ของเราเอง รวมทั้งจับมือกับพันธมิตรผู้ประกอบการโรงแรมชั้นนำระดับนานาชาติเพื่อขยายธุรกิจ ดังนั้นเราจึงเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะสามารถเติบโตเป็น 3 เท่าภายในปี 2567 อย่างแน่นอน” นายคุยเปอร์ กล่าว