“NOBLE” ประกาศแผนธุรกิจปี 64 ทุบสถิติใหม่ ทุ่มเปิด 11 โครงการ มูลค่า 45,100 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
23 December 2563
บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ประกาศศักดา เปิดศักราชใหม่ปี 2564 ก้าวสู่ทศวรรษที่ 3 จ่อลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ารวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 45,100 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพการบริหารงาน-แรงขับเคลื่อนสำคัญจากผู้ถือหุ้นใหญ่และพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญทางธุรกิจ พร้อมระบุมั่นใจฐานลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติมีกำลังซื้อสูง หนุนทั้งปีตั้งเป้ารายได้แตะระดับ 11,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขาย (pre-sale) แตะ 16,000 ล้านบาท ปูทางขึ้นเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยติดอันดับ TOP 5 ภายใน 3 ปีข้างหน้า (ปี2564-2566)
นายธงชัย บุศราพันธ์ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการที่อยู่อาศัยในทำเลชั้นนำของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เปิดเผยว่า ในปี 2564 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของการเติบโตและการลงทุนในก้าวที่สำคัญของบริษัทฯ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรระดับชั้นแนวหน้าที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทฯ ได้วางแผนธุรกิจการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2564 จำนวน 11 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 45,100 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 30 ปี ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมาในปี 2534 และตั้งเป้าหมายรายได้รวมในปี 2564 จำนวน 11,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 10% จากเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ จำนวน 10,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย (pre-sale) จำนวน 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 146% จากปีนี้ที่ตั้งเป้าหมายไว้จำนวน 6,500 ล้านบาท
สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2564 จะแบ่งเป็นโครงการที่พัฒนาโดยบริษัทฯ จำนวน 5 โครงการ โครงการที่ร่วมทุนกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ จำนวน 1 โครงการ โดยในครึ่งปีแรก 2564 จะประเดิมเปิดโครงการทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ จำนวน 4 โครงการประกอบด้วย
- โครงการ NOBLE FORM THONGLOR มูลค่าโครงการประมาณ 5,400 ล้านบาท
- โครงการ NUE NOBLE CENTRE BANGNA มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท
- โครงการ THE EMBASSY AT WIRELESS มูลค่าโครงการ 10,700 ล้านบาท
- โครงการ NUE CONDO AT DON MUEANG มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท
ส่วนโครงการอื่น ๆ อีก 7 โครงการทั้งคอนโดมิเนียม บ้านแฝด และทาวน์โฮม จะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง 2564 ตามนโยบายการรุกขยายฐานลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
นอกจากนี้ ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) ยังได้เปิดเผยว่า “ทางบริษัทฯ ได้มีการลงนามสัญญาทางธุรกิจกับบริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) โดยจะมีสัดส่วนการถือหุ้นโครงการละ 50:50 เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมแนวสูงและแนวราบ บ้านแฝด และทาวน์โฮม บนทำเลถนนสุขสวัสดิ์ ถนนราษฎร์บูรณะ ถนนคูคต และถนนพระราม 9 รวมจำนวน 4 โครงการ มีมูลค่าโครงการกว่า 23,000 ล้านบาท หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการร่วมทุนพัฒนาโครงการแรกบนทำเลถนนรัชดา-ลาดพร้าว มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายมากกว่า 50% โดยทั้ง 4 โครงการใหม่ติดรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานีคูคต (สายสีเขียว) สถานีราษฎร์บูรณะ และสถานีประชาอุทิศ (สายสีม่วง) รวมถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพระราม 9
อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) “BTS” และ บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) “SPI” เพื่อลงทุนซื้อที่ดินบริเวณโครงการธนาซิตี้ บางนา ในสัดส่วนการถือหุ้น NOBLE 40%, SPI 41%, และ BTS 19% โดยมีทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าในอนาคตเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจต่อไป
ในปี 2564 ถือเป็นก้าวสำคัญของ “โนเบิล” ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะด้วยความพร้อมหลังการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 3 รายของบริษัทฯ ในปัจจุบันถือหุ้นรวมกันประมาณ 50% ประกอบด้วย 1. นาย ธงชัย บุศราพันธ์ 2. NCROWNE PTE LTD. นำโดยนายแฟรงค์ ฟง คึ่น เหลียง และ 3. บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ดังนั้นจะเห็นศักยภาพ และความเป็นมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละอุตสาหกรรมทั้งโดยตรงและที่มีความเกี่ยวข้องกัน จึงเป็นการผนึกกำลังพันธมิตรที่ลงตัวในการบริหารธุรกิจเพื่อสอดรับกับนโยบายการก้าวสู่ TOP 5 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมีแผนขยายและต่อยอดฐานลูกค้าของ “โนเบิล” ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยปัจจุบันฐานลูกค้าแบ่งเป็นลูกค้าในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% ทั้งนี้แม้ว่าที่ผ่านมาลูกค้าอาจชะลอการซื้อ ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์โควิด-19 แต่เรายังครองส่วนแบ่งยอดขายในตลาดรวมของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ได้ถึง 37% จากยอดขายรวมทั้งหมดในอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 9 เดือนของปี 2563 ที่ผ่านมา” นายธงชัย กล่าว
ด้านความแข็งแกร่งทางฐานะทางการเงินนั้น ในปี 2564 บริษัทฯ ได้ตั้งงบลงทุนเพื่อการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ไว้แล้วกว่า 9,000 ล้านบาท ภายใต้การจัดการโครงสร้างทางการเงิน พร้อมสำหรับรองรับแผนการลงทุนครั้งยิ่งใหญ่ โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เสนอขายหุ้นกู้จำนวน 1,250 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดจองสูงกว่าที่ตั้งไว้ จึงต้องมีการนำหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (Green Shoe) มาใช้ และยังได้เตรียมออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญใหม่ของบริษัทฯ ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net IBD/E) ที่ระดับ 1.28 เท่า ซึ่งทำให้บริษัทฯ ยังมีความคล่องตัวในการกู้ยืมเงินจากสถาบันทางการเงินได้
นอกจากนี้ คาดว่าการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นของบริษัทฯ ที่ตราไว้ (Par Value) จากเดิมหุ้นละ 3 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2564 ซึ่งช่วยเพิ่มสภาพคล่องของการซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ ให้แก่นักลงทุน และเป็นปัจจัยในการส่งเสริมให้บริษัทฯ มีคุณสมบัติครบถ้วนในการได้รับการพิจารณาเข้าคำนวณในดัชนี SET100 Index อีกด้วย