รูปบทความ การจัดการอาคารทำอย่างไร Plus Facility Management จะมาไขข้อสงสัยให้คุณ

การบริหารจัดการอาคารทำอย่างไร Plus Facility Management จะมาไขข้อสงสัยให้คุณ

เชื่อว่าทุกวันนี้เรามีความคุ้นเคยกับอาคารสูงขนาดใหญ่ที่อยู่รายล้อมรอบๆ ตัวเรา อาคารถือว่าเป็นการลงทุนในระดับสำคัญที่มีมูลค่าสูง เจ้าของอาคาร ผู้ลงทุนจึงต้องการให้อาคารสามารถใช้ประโยชน์ได้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าจากการใช้ประโยชน์ในอาคาร ซึ่งการใช้ประโยชน์ในอาคารขึ้นอยู่กับสมรรถนะ ความสามารถในการทำงานของอาคารและระบบภายในอาคาร อาคารจึงมีความจำเป็นต้องได้รับการบริหารจัดการ เพื่อให้มีสมรรถนะในการใช้งาน (Serviceability) ได้อย่างยาวนานและคุ้มค่า


แน่นอนว่า เราอาจจะยังนึกภาพการทำงานภายในอาคารเหล่านี้ไม่ออกว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร…พูดได้ว่า การบริหารจัดการอาคารนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครจะทำได้ เป็นงานที่มีทั้งความซับซ้อนของระบบด้านวิศวกรรม เทคโนโลยี มีจำนวนคนที่ต้องให้บริการเป็นจำนวนมาก และยังมีความหลากหลายของผู้คน ขนาดของพื้นที่ขนาดใหญ่ในการดูแล รวมไปถึงความสะดวก ปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร และจะดีกว่าไหม? ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญในการดูแลอาคารและระบบต่าง ๆ พร้อมวางแผนงานอย่างเป็นระบบ เพื่อทำให้การจัดสรรงบประมาณรายปีมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยที่เจ้าของอาคารและผู้อยู่อาศัยสามารถไว้วางใจได้อย่างแท้จริง



วันนี้ Estopolis จึงจะไปเจาะลึกข้อมูลจาก Plus Facility Management ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการอาคาร และเป็นอีกหนึ่งบริษัทของคนไทยที่มีความพร้อมในการให้บริการบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ มีทีมทำงานที่มีแนวคิดแบบ Partner พร้อมนำเสนอเทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ ซึ่งจะช่วยเสริมให้เกิดความปลอดภัย ขจัดความเสี่ยง มีการคำนึงถึงผู้คนและสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี ซึ่งนี่คือสิ่งที่ “Plus Facility Management” คิดและให้ความสำคัญในการทำงาน จนก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำด้านการบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์มากกว่า 2 ทศวรรษ


แน่นอนว่าพลัสฯ ย่อมสามารถให้คำตอบกับเราได้ว่า ถ้าต้องการเลือกบริษัทบริหารอาคารยุคใหม่นั้นควรเลือกอย่างไร และรูปแบบการดูแลอาคารแบบไหนถึงจะเรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพ ตามไปดูคำตอบพร้อมๆ กันได้เลย


บริษัทบริหารอาคารยุคใหม่ Facility Management เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์


การดูแลอาคารโดยเฉพาะตึกสูงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการบริหารจัดการอาคารที่ดีและถูกต้องตามมาตรฐานนั้น สามารถช่วยป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดหรือลดอัตราการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินได้ เช่น การป้องกัน การเกิดเหตุไฟไหม้ น้ำท่วม ลิฟต์ตก ตึกถล่ม หรืออาคารทรุดตัวโดยเกิดจากการก่อสร้างไม่ได้คุณภาพ ซึ่งการบริหารจัดการอาคารที่มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องประกอบไปด้วยการวางแผนเตรียมความพร้อมในการรับมือด้วยการทำงานเชิงรุก (Proactive) โดยเริ่มจากการวางแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เป็นการบำรุงรักษาตามแผน และนำเทคโนโลยีอย่างระบบการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance) มาใช้ในการคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์/เครื่องจักร ให้เกิดความแม่นยำมากยิ่งขึ้น


หากอาคารไหนยังขาดการบริหารจัดการอาคารที่ดีในรูปแบบนี้ หรือไม่ได้มีความชำนาญในการดูแลและบริหารจัดการอาคาร แนะนำให้เลือกใช้บริษัทบริหารจัดการมืออาชีพที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะก็จะช่วยให้อาคารมีความปลอดภัย เป็นที่ยอมรับในระดับสากล และช่วยส่งเสริมมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลาได้อีกด้วย



บริการมาตรฐานสูงของ Facility Management ควรเป็นแบบไหน


แล้วการบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ที่ดี และมีคุณภาพควรเป็นแบบไหน?


ในฐานะที่ Plus Facility Management คือ บริษัทรับบริหารอาคารอันดับหนึ่งที่มีข้อมูลด้านต่างๆ เกี่ยวกับการใช้อาคารและมีประสบการณ์ในการวางระบบวิศวกรรมและใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์มากว่า 25 ปี พลัสฯ จึงจะขอแนะนำรูปแบบการบริหารจัดการอาคารที่ดีมีมาตรฐานสูง ซึ่งจะช่วยจัดการปัญหาและตรวจสอบอาคารในด้านต่างๆ อย่างละเอียด ดังนี้


1. ตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร


การบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ที่ดี ควรที่จะช่วยดูแลและจัดการตรวจสอบทั้งภายในและภายนอกอาคารเป็นประจำจากที่อาคารเกิดการโค่นหรือทรุดตัว และพังทลายลงมาที่เกิดจากภัยพิบัติต่างๆ ในพื้นที่ เช่น อัคคีภัย, แผ่นดินไหว, อุทกภัย, การต่อเติมอาคาร หรือการขาดการบำรุงรักษาอาคารที่ต่อเนื่อง ทำให้โครงสร้างของอาคารเกิดความเสียหายตามมา


ซึ่ง Plus Facility Management จะมีบริการดูแลในด้านความมั่นคงแข็งแรงของอาคารโดยทีมวิศวกรที่เชี่ยวชาญที่จะคอยตรวจจับปัญหาต่างๆ และระบุปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น ปัญหารอยร้าว การรั่ว ความเสียหายต่างๆ ฯลฯ ทำให้มีความปลอดภัยและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมในระยะยาวได้ด้วย



2. ช่วยตรวจความปลอดภัยของระบบ และอุปกรณ์ประกอบของอาคาร


ความปลอดภัยนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการอยู่อาศัยภายในอาคารสูง ดังนั้น จึงควรเลือกบริษัทบริหารอาคารที่สามารถตรวจความปลอดภัยของระบบ และอุปกรณ์ประกอบของอาคารได้อย่างครบถ้วนและมีมาตรฐาน


ยกตัวอย่างการดูแลจาก Plus Facility Management ที่จะมีการเข้าไปบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ที่ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของระบบและอุปกรณ์ประกอบของอาคารที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านการใช้งาน เช่น ระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบประปา ระบบลิฟต์ ระบบบันไดเลื่อน ระบบไฟฟ้า เป็นต้น ด้วยการตรวจสอบสมรรถนะการใช้งานอย่างสม่ำเสมอ โดยจะต้องมีการทดสอบเดินเครื่องอย่างน้อย 30 นาทีในทุกสัปดาห์ และใช้ผู้เชี่ยวชาญในการดูแล



นอกจากนี้ ยังต้องทดสอบสมรรถนะของอุปกรณ์อื่นๆ เช่น ตรวจสอบค่าแรงดันการจ่ายน้ำและปริมาณน้ำที่จ่ายในพื้นที่ต่างๆ, การตรวจสอบระบบ HVAC (Heating Ventilation and Air Conditioning) ที่ช่วยควบคุมสภาพแวดล้อมภายในอาคารอย่างอุณหภูมิ, ความชื้น, air flow และ ระบบการกรองของอากาศ ฯลฯ ซึ่งระบบเหล่านี้ต้องทำให้มีคุณภาพตามที่กำหนด ซึ่งนอกจากช่วยให้ปลอดภัยต่อการใช้ชีวิตแล้ว ยังช่วยประหยัดพลังงานและทำให้อาคารใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย


3. ตรวจสอบระบบบริหารจัดการความปลอดภัยในอาคาร


หากเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นบริษัทบริหารและดูแลอาคารจะต้องปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ภายในอาคารจะต้องใช้งานได้ดี เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในอาคาร


Plus Facility Management จึงมีทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตเพื่อทำการตรวจสอบ ซ่อมแซม และอัปเกรดอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ระบบป้องกันอัคคีภัยที่ต้องมีระบบไฟฉุกเฉิน ระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ การใช้บันไดหนีไฟและทางหนีต้องสะดวก มีระบบจ่ายไฟสำรองฉุกเฉิน (Generator) ที่ต้องทำงานทันทีและทำงานต่อเนื่องได้อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ฯลฯ ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดควรจะมีการเปลี่ยนทุก 15 ปี เพื่อให้ระบบสามารถทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ



นอกจากนี้ก็ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยวางแผนการป้องกันและระงับอัคคีภัยในอาคาร แผนการซ้อมอพยพผู้ใช้อาคาร และแผนการบริหารจัดการที่เกี่ยวกับอุปกรณ์หรือระบบความปลอดภัยในอาคาร ซึ่งจะต้องจัดให้พนักงานหรือผู้ใช้อาคารเข้าร่วมการซ้อมไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนทั้งหมด เพื่อสร้างความมั่นใจในการอยู่อาศัยและเกิดความเคยชินในการอพยพมากยิ่งขึ้น


4. มีศักยภาพในการบริหารอาคาร Green Building ด้วยเทคโนโลยีและความรู้ความเชี่ยวชาญ


ทุกวันนี้ผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น จึงถือกำเนิดอาคารที่เน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมแนว Green Building แน่นอนว่า การดูแลระบบของ Green Building ย่อมมีความแตกต่างจากอาคารทั่วๆ ไป ทั้งในด้านการดูแลพื้นที่ การประหยัดพลังงาน หรือการดูแลอากาศ ซึ่งทาง Plus Facility Management เองก็ได้มีการนำมาตรฐานสากล ISO 14001 ในด้านการควบคุมมาตรฐานเพื่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม เข้ามาใช้ในการวางแผนงานในการจัดการสิ่งแวดล้อมด้วย


อาทิ การดูแลพื้นที่สีเขียว การจัดการขยะ บำบัดน้ำเสีย การประหยัดพลังงาน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยการใช้เทคโนโลยี Digital และ IoT แบบอัจฉริยะเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเติม อาคารจึงมี Facility Management ที่สามารถควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ เช่น การเปิด-ปิด หรือ ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสม หรือการทำระบบดูดซับสารพิษในอากาศ ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นถึง 20-40% ต่อปี



5. มีระบบและเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร


การบริหารจัดการทรัพยากรอาคารด้วยเทคโนโลยี นับเป็นรูปแบบการทำงานที่ทดแทนการเข้ามาดูแลอาคารสถานที่ในแบบเดิม เช่น งานดูแลรักษาอาคาร (Building Operation and Maintenance) งานจัดการอาคาร (Building Management) และยังครอบคลุมไปถึงการควบคุมประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานการลงทุน สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมภายในโครงการ ซึ่งในปัจจุบันสามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อตอบสนองต่อการใช้สอยอาคารให้เกิดประโยชน์สูงสุด เหมาะสม และสอดคล้องกับนโยบายขององค์กรให้มากที่สุด


โดย Plus Facility Management เองก็มีการออกแบบระบบปฏิบัติการบริหารจัดการอาคารที่เรียกว่า “Building+” (บิ้วดิ้งพลัส) ที่เชื่อมต่อกับ Internet of Things (IoT) ครอบคลุมขั้นตอนการทำงานแบบครบวงจร ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรอาคารในตึกแห่งนั้นได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น เช่น การวางระบบการจัดการพลังงาน อุปกรณ์อัจฉริยะและไอโอที ระบบควบคุมการเฝ้าระวังภัย การวางระบบบริหารจัดการและควบคุมที่อยู่อาศัยแบบอัตโนมัติ ระบบบริหารงานสำหรับนิติบุคคลอาคารชุด เป็นต้น


รู้จักกับการใช้เทคโนโลยีบริหารอาคารสำหรับภาคอสังหาฯ เพื่อบริหารจัดการ Facility Management


การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์ คือ ก้าวใหม่ของการบริหารจัดการอาคารเพราะนี่คือส่วนสำคัญที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายสำคัญในอาคารจะมาจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ช่วยบริหารจัดการอาคาร (Facility Management) และช่วยในการควบคุมมาตรฐานเพื่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น แต่เทคโนโลยีแบบไหนบ้างที่ควรนำมาใช้ในการบริหารจัดการอาคาร ลองไปดูตัวอย่างจาก Plus Facility Management กัน


เทคโนโลยีสำหรับทำระบบฐานข้อมูล


เทคโนโลยีแรกคือ เทคโนโลยีสำหรับทำระบบฐานข้อมูลเพื่อจัดเก็บรายละเอียดต่างๆ อาทิ ความต้องการของเจ้าของอาคาร, ความต้องการของผู้ใช้อาคาร, รายละเอียดความต้องการของเจ้าของที่พักอาศัย ฯลฯ ซึ่งในปัจจุบันนี้ Plus Facility Management มีการใช้ “Plus Serve” ในการเข้ามาบริหารจัดการและออกแบบรูปแบบการบริการที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ตามความต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมทั้งเป็นการส่งมอบงานที่เป็นไปอย่างมีคุณภาพและได้ตามมาตรฐานของพลัสฯ


ระบบ Standard Operating Procedure (SOP)


ระบบ Standard Operating Procedure (SOP) จะเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการดูแลของระบบวิศวกรรมอาคารให้กับผู้ใช้อาคารและเจ้าของอาคารได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นระบบมาตรฐานการควบคุมการปฏิบัติงานของงานรักษาความปลอดภัย และการรักษาความสะอาดในงานแต่ละขั้นตอน ซึ่งทาง Plus Facility Management จะมีระบบนี้ที่เรียกว่า “Plus SOP” ที่จะใช้ในการควบคุมการปฏิบัติงานของการรักษาความสะอาดและความปลอดภัยให้มีความถูกต้องและมีทิศทางในแนวเดียวกัน มีการกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ทำให้ส่งงานที่มีคุณภาพได้ตามมาตรฐาน


ระบบการตรวจสอบงานวิศวกรรมอาคาร


ระบบการตรวจสอบงานวิศวกรรมอาคาร จะเป็นระบบที่ช่วยตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรต่างๆ เพื่อความปลอดภัยในการทำงานของอุปกรณ์ ซึ่ง Plus Facility Management จะมีการใช้ Green Tech & Smart Tech ในการตรวจสอบการทำงานของเครื่องจักรต่างๆ แบบ Real-time และเชื่อมระบบต่างๆ เข้าสู่ศูนย์ปฏิบัติการจากส่วนกลาง จึงช่วยป้องกันการเกิดเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือที่เรียกกันว่า “Plus QC” นั่นเอง


ระบบแจ้งผลการปฏิบัติงาน


การบริหารจัดการอาคารที่สามารถตรวจสอบได้ย่อมทำให้เกิดความสบายใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงควรใช้เทคโนโลยีในการแจ้งผลการปฏิบัติงานเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าและผู้ใช้อาคารใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลามานั่งประชุมหรือตรวจสอบด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเทคโนโลยีที่ Plus Facility Management ใช้เพื่อแจ้งผลการปฏิบัติงาน อย่าง “Plus Notify” ที่จะจัดทำและสรุปรายงานการปฏิบัติงานให้กับ คณะกรรมการนิติบุคคลฯและเจ้าของอาคาร ซึ่งสามารถนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์และประเมินผลการทำงานของทีมพลัสฯ ได้อีกด้วย


จะเห็นว่าการบริหารจัดการอาคารสามารถใช้เทคโนโลยีบริหารอาคารได้ ทั้งการใช้การนำ IoT (Internet of Things) มารวมกับ AI algorithm และพัฒนาระบบ AIoT แล้วนำมาใช้งานกับกระบวนการต่างๆ ในการบริหารจัดการอาคาร ทั้งนี้ก็เพื่อให้การดูและบริหารจัดการมีความแม่นยำ มีประสิทธิภาพ ลด Human Error ในการดูแล และสามารถสร้างมาตรฐานการดูแลอาคารได้ในระดับสากล


ผลลัพธ์ที่เป็นคุณค่าจากการทำงานบริหารจัดการอาคาร



การบริหารจัดการอาคารเพื่อการพาณิชย์เป็นเหมือนหัวใจของความปลอดภัยและความมั่นใจของผู้อยู่อาศัย พนักงาน และเจ้าของอาคาร จึงมีส่วนช่วยเสริมสร้างให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ 3 ประการ ดังต่อไปนี้


1. ความมั่นใจในการใช้อาคาร


การบริหารจัดการอาคารที่มีประสิทธิภาพจะช่วยสร้างความมั่นใจในการใช้อาคารได้มากขึ้น เนื่องจากสามารถติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการตามแผนที่วางไว้ได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น น้ำประปาไม่ไหล ไฟดับ เหตุลิฟต์ขัดข้อง ฯลฯ ระบบทุกอย่างจะยังสร้างความมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยและยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่องไม่มีสะดุด


2. ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน


การนำเทคโนโลยีและแผนการต่างๆ ที่เหมาะสมมาใช้งาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและสอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจเข้ามาใช้งานย่อมทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกถึงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น อีกทั้งเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพยังช่วยขจัดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังช่วยดูแลอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมของอาคาร รวมถึงป้องกันอันตรายต่างๆ อย่างครอบคลุมในทุกพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่องและแม่นยำมากยิ่งขึ้นด้วย


3. ความปลอดภัยในระบบวิศวกรรมอาคาร


ระบบวิศวกรรมอาคารจะดำเนินการอย่างเป็นระบบและเป็นขั้นตอนมากขึ้น และจะต้องดำเนินไปอย่างเหมาะสมกับเงื่อนไขเฉพาะของแต่ละอาคาร และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในระบบวิศวกรรมอาคาร บริษัทที่ดูแลบริหารจัดการอาคารจึงจะต้องมีการจัดทำเอกสารที่แนะนำวิธีการปฏิบัติงานต่างๆ ทำให้ทุกคนมั่นใจในมาตรฐานการทำงานและลดความผิดพลาดในการปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะช่วยทำให้มีความปลอดภัยในระบบวิศวกรรมอาคารมากขึ้น


การดูแลอาคารเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน จำเป็นที่จะต้องมีบุคลากรที่ทำงานเป็นเบื้องหลัง ที่คอยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานภายในอาคาร ต่างๆ ดังนั้นจึงควรใช้บริษัทบริหารจัดการอาคารที่พร้อมสำหรับการดูแลอาคารในทุกมิติก็จะช่วยอำนวยความสะดวกสบาย ช่วยเพิ่มความมั่นใจ ยกระดับความปลอดภัย และทำให้การอยู่อาศัยมีความสุขมากยิ่งขึ้น


ซึ่งถ้าไม่แน่ใจว่าจะเลือกบริษัทรับดูแลอาคารที่ไหนดี? สามารถปรึกษา Plus Facility Management ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบสนองทุกปัญหา และพร้อมให้บริการดูแลด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เพื่อปรึกษาถึงรูปแบบการบริหารจัดการอาคารที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดสำหรับคุณ สนใจติดต่อเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02 688 7555 หรือ plus.co.th


เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร...?

Related Stories

Esto Talks

See All >

Living out loud

Living out loud : VANA RESIDENCE พระราม 9 - ศรีนครินทร์