จับตาดูแนวโน้มอสังหาฯ ก่อนเข้าสู่ปี 2020 กับ ERA Real Estate
26 July 2561
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 หรือเกือบ 30 ปีมาแล้ว ธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์มือ 2 หรือเป็นที่รู้จักกันภายใต้ชื่อธุรกิจนายหน้าอสังหาฯในประเทศไทยนั้นได้มีการเปลี่ยนไปแปลงในทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง และเมื่อตลาดเติบโตขึ้นและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคมากขึ้น ธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์มือ 2 ก็ต้องได้รับการพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น จากที่เคยขายในรูปแบบนักขายอิสระก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นการทำงานเป็นทีมและมีการนำเอาวิวัฒนาการต่างๆมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถครอบครองตลาดได้มากที่สุด
ทั้งนี้เองการพัฒนาธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์มือ 2 เองก็ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญเหล่านี้ เพื่อมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจ
- การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
จากที่เคยส่งผ่านไปรษณีย์ได้เปลี่ยนมาเป็นออนไลน์ เริ่มตั้งแต่มีการเกิดขึ้นของ Social Media และกำลังจะเริ่มเข้าสู่ยุคของ AI ที่ทำหน้าที่ในการให้บริการข้อมูลกับผู้ที่สนใจและในไม่ช้านี้ก็อาจจะมีการใช้ EV เพื่อพาลูกค้าดูบ้าน และอนาคตเองก็อาจจะมีการใช้สกุลเงินทางอีเล็คทรอนิคเพื่อการซื้อขายอสังหาก็เป็นได้
- ปัจจัยจากภาครัฐ
ซึ่งได้แก่ TPQI , ปปง และพรบ.นายหน้าอสังหาฯ(ที่อาจมีขึ้นเร็วๆนี้) ซึ่ง TPQI เองก็คือหน่วยงานของภาครัฐภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้สร้างข้อกำหนดต่างๆและจัดให้มีการสอบแยกระดับความสามารถของนักขายอสังหาริมทรัพย์เป็นหลากหลายระดับ เพื่อสร้างความแตกต่างของนักขายมืออาชีพและนักขายสมัครเล่น
- สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
ด้วยสภาพสังคมครอบครัวใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ครอบครัวขนาดเล็ก ทำให้มีสถิติการย้ายที่อยู่อาศัยประมาณ 3 ครั้งในช่วงชีวิตและยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นการถือครองทรัพย์สินจะมีจุดประสงค์มากกว่าเพื่อการอยู่อาศัยและไม่เพียงแค่ซื้อขายในประเทศ แต่เป็นการลงทุนในทุกภูมิภาคของโลกด้วย
- รูปแบบการแข่งขันทางธุรกิจ
ธุรกิจนายหน้าอสังหาฯและธุรกิจการขายถือว่าเป็นทางเลือกอันดับแรกๆที่คนจะสนใจสร้างรายได้ และในขณะเดียวกันก็มีนักธุรกิจจากหลากหลายสาขาอาชีพเข้าสู่ธุรกิจนี้เป็นจำนวนมากด้วย เรียกได้ว่าเป็น "ยุคทองของธุรกิจ" เลยก็ว่าได้
ทำความรู้จักกับ ERA Franchise Thailand
ERA Franchise Thailand เป็นเฟรนไชส์อสังหาฯมือ 2 ที่มาจากสหรัฐอเมริกา และได้เข้ามาดำเนินการในไทยตั้งแต่ปี 2536 และในปัจจุบันได้มีสาขาทั้งหมด 30 สาขาแล้วรวมไปถึงมีตัวแทนขายกว่า 2,000 คน
สรุปแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯที่จะเกิดขึ้นใน 3 ปีข้างหน้า The Next Trend in 2020 (For Real Estate Brokerage Business in Thailand)
- 1. ยุคทองของธุรกิจนักขายและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์
มีผู้เล่นหน้าใหม่สนใจในอาชีพนี้เพิ่มขึ้นจำนวนมากเนื่องจากความไม่มั่นคงของอาชีพในปัจจุบัน จึงทำให้มีความจำเป็นต้องหาอาชีพเสริมและหนึ่งในอาชีพเสริมที่ดีก็คืออาชีพการขายหรือนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เนื่องจากเป็นอาชีพที่ไม่ต้องลงทุนมากแต่มีโอกาสสูงในการสร้างรายได้จึงทำให้มีผู้สนใจธุรกิจนี้เป็นจำนวนมากประกอบกับมีหลายองค์กรรวมถึงสมาคมต่างๆจัดการฝึกอบรมและแนะนำวิชาชีพดังกล่าวจึงเป็นปัจจัยเสริมในการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่สนใจในอาชีพนี้
- 2. ยุคของการพัฒนาระบบการทำงาน
- ระบบการบริหารงานองค์กรต้องทันสมัยและตรวจสอบได้ เพื่อให้เป็นที่ไว้วางใจกับทุกฝ่ายและทุกๆระดับชั้นขององค์กร ระบบการบริหารงานต้องถูกวางอย่างถูกต้องและมีมาตราฐาน
- ระบบการบริหารงานขายต้องมีประสิทธิภาพและครอบคลุมพื้นที่ได้ทั่วถึง ต้องมีการวางโครงข่ายอย่างครอบคลุมในทุกระดับทั้ง Visible และ Invisible ทั้งนี้ต้องสามารถเชื่อมโยงได้ทั่วทุกทวีปในโลก - ระบบการเงินต้องโปร่งใสทั้งแหล่งที่มาคือรายรับและรายจ่ายทุกประเภท ระบบภาษีจะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในทุกๆระดับ โดยทุกองค์กรและทุกคนที่อยู่ในธุรกิจจำเป็นต้องรายงานทุกอย่างๆครบถ้วน
- ระบบการบริการลูกค้าต้องตรวจสอบได้ ระบบการบริการในอดีตนั้นใช้วิธีรายงานตามช่วงเวลาที่กำหนดแต่ในอนาคตต้องเป็นแบบ Real Time ที่ลูกค้าสามารถเรียกดูได้ทุกที่ทุกเวลา
- ระบบงานทุกประเภทต้องถูกดำเนินการผ่านระบบสารสนเทศที่มีมาตรฐานสากล ทั้งในรูปแบบการดำเนินงาน การสั่งการและการเก็บข้อมูลต่างๆเช่น ข้อมูลการตลาด ข้อมูลพื้นที่ทำงานของตัวแทน และข้อมูลผู้บริโภคเป็นต้น
- 3. ยุคของเทคโนโลยี่ขั้นสูงที่เป็นตัวกำหนดรูปแบบการพัฒนาธุรกิจ
- สกุลเงินดิจิตอล (Digital Currency) คือสิ่งที่มีความเป็นไปได้ที่จะมามีบทบาทในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
- ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) จะเริ่มมีบทบาทในการให้ข้อมูลและบริการลูกค้าอย่างต่อเนื่องทั้งทาง online/offline
- ยานพาหนะกึ่งคนขับหรือไร้คนขับ (E-Vehicle)จะเป็นทางเลือกในการให้บริการในอนาคตเพื่อสร้างความแตกต่างในวงการธุรกิจ
- 4. ยุคของการเรียนการสอนในรูปแบบใหม่ๆ
- สิ้นสุดยุค “How to...” การเรียนการสอนจะมุ่งเน้นที่องค์ความรู้และความต่อเนื่องของความเป็นจริงที่พิสูจน์ได้เป็นหลัก ผู้ดำเนินการสอนต้องสอนอย่างต่อเนื่องและชัดเจนรวมถึงหลักสูตรการสอนต้องได้รับการยอมรับและมีการใช้เทคโนโลยีต่างๆประกอบการสอนเพื่อให้เกิดเหตุการณ์เสมือนจริง
- จะมีผู้สนใจเรียนมากแต่รายได้จากการอบรมจะลดลง รูปแบบการเรียนจะเป็นลักษณะ On-Demand โดยมีค่าใช้จ่ายต่อหัวที่ต่ำมากหรือเป็นไปในรูปการแชร์ต้นทุนอย่างชัดเจน การสอนจะเน้นที่ตัวบุคคลเป็นหลักตามความเหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละด้านเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญในแต่ละประเภทของสินค้าหรือบริการซึ่งแตกต่างจากที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
- จะมีหลักสูตรและวิทยากรหน้าใหม่จำนวนมากทั้งจากในและต่างประเทศเพื่อรองรับตลาดที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยที่สำคัญ ในขณะเดียวกันวิทยากรภายในประเทศก็จะมุ่งสู่ระดับอินเตอร์มากขึ้น
- การดูงานในต่างประเทศจะหมดยุคลง เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ทำให้กิจกรรมนี้หมดความสำคัญเพราะสามารถดำเนินการโดยวิธีการอื่นๆทดแทนได้
- 5. ยุคของผู้บริหารที่มีความเป็นผู้นำและเก่งในเรื่องบริหารความขัดแย้ง
- ในยุคของการเติบโตผู้นำต้องโดดเด่น พร้อมทั้งคุณวุฒิและวัยวุฒิโดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีวิสัยทัศน์ที่แตกต่างและทำได้
- ความขัดแย้งมาพร้อมกับการเติบโต องค์กรที่ใหญ่มักมีความขัดแย้งมากมายแอบแฝงอยู่ ผู้นำในแต่ละระดับต้องสามารถบริหารความขัดแย้งเหล่านี้ได้
- ผู้นำต้องไม่สร้างความขัดแย้งขึ้นมาเสียเอง ในองค์กรทุกแห่งต้องมีผู้บริหารหลากหลายระดับ และเมื่อเกิดความขัดแย้งผู้นำในทุกระดับจึงมีบทบาทที่สำคัญมากและในยุคนี้เก่งคนเดียวไปไม่รอด
- 6. นักขายอิสระจะทำงานยากขึ้นแต่ระบบเครือข่ายที่มีมาตรฐานสูงและเป็นที่ยอมรับจะมีบทบาทมากในอนาคต
- ผู้บริโภคได้รับข่าวสารและมีทางเลือกมากขึ้น ถึงแม้ว่านักขายอิสระจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนแต่ก็ยังขาดความเป็นเอกภาพในการทำหน้าที่เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้บริการ เป้าหมายและความสำเร็จต่างๆก็ไม่ใช่ของนักขายอิสระเองแต่กลับเป็นของผู้นำในแต่ละช่วงเวลาที่เกิดขึ้นมา ดังนั้นข่าวสารความสำเร็จต่างๆจึงไม่สามารถอ้างอิงได้เลยแม้แต่น้อย
- ระบบการทำงานที่แตกต่าง นักขายอิสระไม่มีการแบ่งปันผลประโยชน์ ดังนั้นทุกสิ่งเกิดขึ้นจากความสามารถเฉพาะตัว จึงทำให้ระบบการทำงานไม่ถูกพัฒนาให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงซึ่งแตกต่างจากระบบเครือข่ายที่มีการแชร์ต้นทุนในด้านต่างๆและสามารถชี้ให้ทุกคนในเครือข่ายเข้าใจได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแชร์ต้นทุนด้านการตลาด การฝึกอบรมและการสร้างเครือข่ายสัมพันธ์รวมถึงการสร้างโปรแกรมต่างๆอื่นๆอีกมากมาย เพื่อครอบครองพื้นที่ทางการตลาด เนื่องจากสามารถทำได้ดีกว่าบริษัทหรือนักขายอิสระที่ทำอยู่เพียงผู้เดียว
- ระบบเทคโนโลยี่ต่างๆมีต้นทุนที่สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่าจึงเป็นการยากที่จะมีการลงทุนหากต้องควักกระเป๋าเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การทำงานของ นักขายอิสระมีแนวโน้มที่จะลำบากในอนาคต